ลดน้ำหนักไม่ต้องกินยาวิธีลดน้ำหนักง่ายๆไม่ต้องกินยา

5 วิธีลดน้ำหนัก ด้วยการคุมอาหารไม่ต้องกินยา

เมื่อพูดถึงการลดน้ำหนัก หลายคนมักคิดว่าสิ่งที่ต้องทำคือการออกกำลังอย่างหักโหม หรืออดอาหารเพื่อให้ตัวเลขน้ำหนักลดลง แต่การทำแบบนี้เป็นการทำร้ายร่างกายมากกว่าการสร้างสุขภาพ[1] และอาจทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ (Yo-Yo Effect) CHILLBOX ได้รวม 5 วิธีลดน้ำหนักไม่ต้องกินยา ซึ่งการรับประทานอาหารอย่างถูกวิธี มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมถือเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย

 

ในบทความนี้ CHILLBOX จะมาแนะนำ 5 วิธีการลดน้ำหนักผ่านการรับประทานอาหารรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ พร้อมทำความรู้จักกับโพรไบโอติกช่วยลดน้ำหนัก

 

แนะนำ 5 วิธีลดน้ำหนักไม่ต้องกินยา ทำได้ด้วยตนเองง่ายๆ

  1. การทำ IF (Intermittent Fasting)

การทำ IF หรือ Intermittent Fasting คือ การหยุดรับประทานอาหารเป็นช่วงๆ  โดย I (Intermittent)  หมายถึงการควบคุมแคลอรี ส่วน F (Fasting) หมายถึงการจำกัดช่วงเวลาในการรับประทาน ซึ่งวิธีนี้นับเป็นหนึ่งในวิธีการลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยไม่ได้เน้นไปที่ประเภทอาหาร แต่จะให้ความสำคัญกับเวลาการกิน เช่น IF 16/8 หมายถึง กินอาหารในช่วง 8 ชั่วโมงและจะอดอาหาร 16 ชั่วโมงต่อเนื่อง

ซึ่งการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหาร ทำให้รับปริมาณแคลอรีต่อวันลดน้อยลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงตามไปด้วยในที่สุด ซึ่งข้อดีและข้อเสียของการทำ IF มีดังนี้

 

ข้อดีของการทำ IF

  • ลดน้ำหนัก[5][6] – เนื่องจากโกรทฮอร์โมน (HGH) จะเพิ่มสูงขึ้นในขณะทำ IF ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญไขมันมากขึ้น และสร้างกล้ามเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดภาวะดื้ออินซูลิน[7][8] –  IF สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ราวๆ 3-6% อีกทั้งช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลิได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ในการป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 
  • ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ[9] – มีงานวิจัยระบุว่า IF มีส่วนช่วยในการลดระดับไขมันไม่ดี (LDL), ไตรกลีเซอไรด์, การอักเสบในเลือด (Inflammatory Marker) และระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสาเหตุของโรคหัวใจต่างๆ
  • ชะลอวัย[10][11] – จากงานทดลอง พบว่าหนูที่รับประทานอาหารแบบ IF นั้นมีอายุยืนมากกว่าหนูที่รับประทานอาหารแบบปกติมากถึง 36-83% การทานอาหารแบบ IF จะทำให้ร่างกายอยู่ในโหมดประหยัดการเผาพลาญ ใช้พลังงาน และลดการใช้งานของอวัยวะในร่างกาย และปรับเวลาพร้อมเปิดใช้เมื่อทานอาหารเท่าที่จำเป็น และฟื้นฟูร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ลดความเสื่อมของอวัยวะของร่างกายทำให้ ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ และชะลอวัย

ข้อเสียของการทำ IF

  • รู้สึกไม่สบายตัวในช่วงแรก[12] – บางคนอาจรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด หรือมีอาการวิตกกังวลในตอนที่เริ่มทำ IF ซึ่งมีสาเหตุมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดน้อยลง
  • มีความอยากอาหารมากขึ้น[13] – เมื่อจำกัดเวลาการรับประทานอาหาร กลไกของสมองมักจะทำให้ร่างกายมีความอยากอาหารมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้บางคนเผลอกินอาหารมากเกินความจำเป็น
  • ไม่เหมาะกับคนบางกลุ่ม[13][14] – สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร ไม่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักด้วย IF เนื่องจากการอดอาหารเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงอาจส่งผลกระทบต่อสุภาพคนในกลุ่มนี้ได้ เช่น ลูกในครรภ์ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่วนเด็กที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ที่อดอาหาร อาจทำให้ฮอร์โมนเพศบางชนิดลดต่ำลงได้

 

  1. การทานคีโต (Ketogenic Diet)

ทานคีโต (Ketogenic Diet)-Keto
ทานคีโต (Ketogenic Diet)-Keto

คีโตเจนิค ไดเอท (Ketogenic Diet) คือ รูปแบบการรับประทานอาหารที่เน้นไขมันชนิดดีเป็นหลัก โปรตีนในระดับปานกลาง และคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่ต่ำ จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า Low-carb Diet โดยทั่วไป การกินแบบคีโตจะกำหนดลักษณะอาหาร ดังนี้[16]

 

ไขมันในกลุ่มไขมันดี – 70%

โปรตีนทุกประเภท – กำจัดอยู่ที่ 20%  

คาร์โบไฮเดรต – อาจถูกจำกัดอยู่ที่ 10% ของอาหารที่รับประทานตลอดทั้งวัน

ทั้งนี้ จุดประสงค์ในการทานคีโตก็เพื่อให้ระบบเผาผลาญของร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิส Ketosis ในที่สุด

 

ภาวะคีโตซิส (Ketosis) คืออะไร?

ภาวะคีโตซิส คือ ภาวะการเผาผลาญรูปแบบหนึ่งที่ร่างกายจะเผาผลาญไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต ภาวะนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจำกัดการสร้างกลูโคส (Glucose) ทำให้ร่างกายหันไปเผาผลาญไขมันแทน และในขณะที่ร่างกายเผาผลาญไขมัน จะเกิดสารคีโตน (Ketone) ที่ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงาน ทดแทนคาร์โบไฮเดรตที่สูญเสียไปนั่นเอง

โดย การงดกินคาร์โบไฮเดรต หรือรับประทานในปริมาณน้อยมากๆ จะส่งผลให้ร่างกายคิดว่าเรากำลังอดอาหาร จึงดึงไขมันในร่างกายออกมาใช้มากขึ้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงลดน้ำหนักได้แม้รับประทานไขมันในปริมาณมาก

 

ข้อดีของการทานคีโต

  • ลดน้ำหนักได้รวดเร็ว[18] – แน่นอนว่าการทานคีโตสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ซึ่งได้ผลดีเทียบเท่ากับการทานอาหารไขมันต่ำเลยทีเดียว[19]
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด[20][21] – การรับประทานอาหารคีโตที่จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในระดับที่ต่ำมากๆ ส่งผลให้ระดับอิซูลินในกระแสเลือดลดลง และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2 อย่างมาก เนื่องจากไม่ต้องทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด[22] –  อาหารคีโตเจนิคช่วยลดน้ำตาลในเลือด จึงทำให้ระดับอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเติบโตของเซลล์ในร่างกายที่อาจเชื่อมโยงกับมะเร็งบางชนิดลดลง เช่น โรคมะเร็งสมอง นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากอินซูลินในกระแสเลือดที่สูงได้อีกด้วย
  • ลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ[23][24] – จากงานวิจัยหลายแห่งพบว่า การรับประทานอาหารแบบคีโต นั้นมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคบางชนิด เช่น โรคลมชัก (Epilepsy) โรคความจำเสื่อม (Alzheimer’s disease)
  • ลดการเกิดสิว[25] – การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งช่วยลดการเกิดสิวและช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้นได้

ข้อเสียของการทานคีโต

  • ภาวะไข้หวัดคีโต (Keto Flu)[26] – สำหรับผู้ที่หันมารับประทานอาหารคีโตใหม่ๆ อาจพบกับภาวะไข้หวัดคีโต โดยจะมีอาการ เช่น ปวดท้อง วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย และอารมณ์แปรปรวน เนื่องจากร่างกายยังอยู่ระหว่างการปรับตัวให้เข้ากับภาวะคีโตซิส อีกทั้งยังส่งผลต่อระดับความสมดุลของแร่ธาตุและของเหลวในร่างกาย จึงเป็นที่แนะนำให้เพิ่มเกลือเข้าไปในอาหารหรือทานวิตามินเสริม ซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นในระยะยาว
  • ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด[27] – การทานคีโตนั้นเป็นการหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เช่น ผัก และผลไม้ จึงอาจส่งผลให้ร่างกายขาดแร่ธาตุและวิตามินจำเป็นบางชนิด จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมร่วมด้วย
  • ปัญหาระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย[27] – เพราะต้องลดการกินอาหารบางอย่าง ผักหรือผลไม้ที่มีทั้งคาร์โบไฮเดรตและไฟเบอร์ จึงอาจทำให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ และเกิดอาการท้องผูกได้บ่อย จึงควรรับประทานอาหารเสริมที่มีไฟเบอร์เข้าไปช่วยแทน
  • ภาวะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ[28] – การทานคีโตสามารถช่วยลดน้ำหนักได้รวดเร็ว แต่มีโอกาสที่ร่างกายอาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปด้วย เนื่องจากการรับประทานโปรตีนในปริมาณที่น้อยลง ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคกล้ามเนื้อลีบฝ่อ (Muscle Atrophy) ได้ ดังนั้นจึงควรศึกษาให้ดีก่อนเริ่มทานคีโต

 

  1. การทานวีแกน (Vegan Diet)[29][30]

ทานวีแกน-vegan-diet

การรับประทานวีแกน (Vegan Diet) หรือการเลือกทานเฉพาะผัก ผลไม้ ธัญพืช เมล็ดพืช ถั่ว และหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด รวมไปถึง ไข่ นม เจลาติน และอาหารที่ผลิตโดยสัตว์ เช่น น้ำผึ้ง เรียกได้ว่าเป็นลักษณะการทานอาหารที่เคร่งครัดกว่ามังสวิรัติไปอีกระดับ ในสหรัฐอเมริกา ประชากรราว 3%[31] ถือว่าตนเองเป็นวีแกน ซึ่งบางคนเลือกทานอาหารลักษณะนี้เพื่อรักษาสุขภาพ ส่วนบางกลุ่มเลือกทานเพราะไม่ต้องการเบียดเบียน หรือส่งเสริมการทารุณกรรมสัตว์ ซึ่งการทานวีแกนสามารถทำได้หลายวิธีการขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และสามารถทำควบคู่กับวิธีการลดน้ำหนักอย่างอื่นได้ เช่น คีโต เป็นต้น

 

ข้อดีของการทานวีแกน

  • ลดน้ำหนัก ได้หุ่นดี[32][33]– การทานอาหารที่มีพืชผักผลไม้เป็นหลักสามารถลดน้ำหนักได้อย่างดี อีกทั้งผู้ที่ทานวีแกนยังมีร่างกายที่ผอมกว่า และมีค่า BMI (Body Mass Index) ที่ต่ำกว่าอีกด้วย จึงเป็นสาเหตุที่การทานวีแกนได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ต้องการลดหุ่น
  • ได้แร่ธาตุและไฟเบอร์ที่จำเป็นต่อร่างกาย – การรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชเป็นหลักนั้นส่งผลให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุต่างๆ ที่มีในผักผลไม้มากขึ้น และที่สำคัญคือได้ไฟเบอร์ในปริมาณมาก ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ควบคุมน้ำหนัก
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ[34][35][36] – จากหลายการศึกษาพบว่า การรับประทานอาหารวีแกน นั้นลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหลอดเลือดและหัวใจ รวมไปถึงมะเร็งบางชนิด อย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งตับอ่อน เป็นต้น

ข้อเสียของการทานวีแกน

  • ขาดสารอาหารบางชนิด[37] –  กลุ่มผู้ทานวีแกนจะไม่ได้รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และมักจะเสี่ยงต่อการขาดวิตามิน B12 กับธาตุเหล็ก ซึ่งพบได้ในเนื้อสัตว์เป็นหลัก รวมไปถึงวิตามิน B3 B2 วิตามิน D แคลเซียม และซิงค์ แต่หากวางแผนการทานวีแกนไม่เหมาะสม ก็อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้เช่นกัน
  • อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต[38][39][40] – จากการรายงานศึกษาที่เปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ไม่ทานเนื้อสัตว์กับผู้ที่ทานเนื้อสัตว์ในแง่ของสุขภาพจิต พบว่าผู้ที่ไม่ทานเนื้อสัตว์มีอัตราการเกิดโรคซึมเศร้าในระยะเวลา 1 เดือน, 12 เดือน และตลอดชีวิตสูงถึง 7.4%, 24.1% และ 35.2% ตามลำดับ ในขณะที่ผู้ทานเนื้อสัตว์มีอัตราที่ต่ำกว่ามากคือ 6.3%, 11.9% และ 19.1% ในลำดับเดียวกัน นอกจากนี้ การมุ่งเน้นไปยังการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากเกินไป อาจก่อให้เกิดโรค Orthorexia พฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติ (Eating Disorders) ชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยจะมีความกังวลเกี่ยวกับอาหาร คำนึงถึงและเลือกกินเฉพาะอาหารคลีนมากเกินไป จนอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้

 

  1. การทาน Dukan Diet ลดน้ำหนักแบบเน้นทานโปรตีน[41] [42]

Dukan Diet

ดูกอง ไอเอต (Dukan Diet) เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่เน้นการรับประทานโปรตีนเป็นหลักและคำนวณปริมาณน้ำหนักที่ต้องการลดกับระยะเวลาที่ต้องทานแบบดูกอง ซึ่งจะรับแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ ปลา อาหารทะเล ถั่ว และนมพร่องมันเนย และไม่จำเป็นต้องอดอาหารแต่อย่างใด วิธีการทานอาหารนี้ถูกคิดค้นขึ้นในช่วงยุค 70 โดย ดร.ปิแอร์ ดูกอง (Dr. Pierre Dukan) นักโภชนาการชาวฝรั่งเศส 

 

ดูกอง ไอเอต ระบุว่าจะต้องทานโปรตีนราว 80% ของอาหารทั้งหมดในช่วงที่ลดน้ำหนัก โดยช่วงเวลาลดน้ำหนักดังกล่าวอาจใช้เวลาตั้งแต่ 3 วัน ไปจนถึงหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลดน้ำหนัก ซึ่งหลักการลดน้ำหนัก Dukan Diet จะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง (Phase) ที่ค่อนข้างเคร่งครัด ได้แก่

Attack Phase (1-7 วัน) – เน้นการรับประทานโปรตีนที่มีไขมันน้อย (Lean Protein) เช่น อกไก่ เนื้อปลา ไข่ไก่ หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน รวมถึงไม่ควรใช้น้ำมันหรือเนยปรุงอาหาร และยังมีข้อแนะนำให้รับประทานรำข้าวโอ๊ต (Oat Barn) ประมาณ 1.5 ช้อนโต๊ะ เพื่อเพิ่มไฟเบอร์และแร่ธาตุให้กับร่างกาย

Cruise Phase (1-12 เดือน) – ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใช้ระยะเวลายาวนานที่สุด โดยจะเป็นการรับประทานโปรตีนที่มีไขมันน้อย (Lean Protein) และเพิ่มผักกลุ่มที่ไม่มีแป้ง (Non-starchy vegetables) เช่น กะหล่ำ บรอคโคลี่ แครอท มะเขือเทศ พริกหวาน ผักสลัด แบบวันเว้นวันเข้าไปในมื้ออาหาร พร้อมทานรำข้าวโอ๊ต (Oat Barn) ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน

Consolidation Phase (5 วันต่อน้ำหนักที่ลดลง 1 ปอนด์ หรือ 454 กรัม) – ช่วงนี้สามารถกินอาหารประเภทโปรตีนได้อย่างเต็มที่โดยไม่จำกัดแหล่งของโปรตีน กินผักได้และผลไม้ทุกวัน

Stabilization Phase (ทำต่อเนื่อง) – ช่วงนี้นับเป็นช่วงสุดท้ายที่น้ำหนักเริ่มลงตัวตามที่วางเป้าหมายเอาไว้ โดยสามารถทานอาหารแบบ Consolidation Phase หรือกลับมาทานอาหารได้ตามปกติ ยกเว้นหนึ่งวันที่ต้องเป็นวันสำหรับรับประทานโปรตีนเหมือนใน Attack Phase ซึ่งมีคำแนะนำเพิ่มเติมให้ออกกำลังกายอย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน

 

 

 

 

 

 

ข้อดีของการทาน Dukan Diet

  • ลดน้ำหนักได้รวดเร็ว[43] – การรับประทานอาหารที่เน้นสัดส่วนโปรตีนในปริมาณมากนั้นสามารถช่วยให้อิ่มนานขึ้น เพราะกระเพาะต้องใช้เวลาย่อยโปรตีนนานกว่าคาร์โบไฮเดรต ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยับยั้งการหลั่งของเกรลินฮอร์โมน (Ghrelin Hormone) ได้ดี จึงส่งผลให้ไม่รู้สึกหิวบ่อย
  • กำหนดเป้าหมายในการลดและควบคุมน้ำหนักได้[41] – ในช่วง Cruise Phase จะเป็นช่วงที่น้ำหนักลดลงอย่างเห็นผลได้ชัดเจน จึงสามารถช่วยให้เข้าถึงเป้าหมายในการลดน้ำหนักได้แบบเห็นภาพ และเมื่อเข้าสู่ช่วง Consolidation และ Stabilization Phrase เราจะสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมในระยะยาว
  • ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร[44] – เพราะดูกอง ไดเอตเน้นไปยังการรับประทานโปรตีนที่มีไขมันน้อย จึงมีแคลอรีที่ต่ำกว่าการกินเพื่อลดน้ำหนักแบบอื่นๆ ที่ต้องคอยสังเกตและนับแคลอรี จนบางครั้งต้องอดมื้ออาหาร เนื่องจากจำนวนแคลอรีที่เกินมา

ข้อเสียของการทาน Dukan Diet

  • มีความเคร่งครัดสูง – เนื่องจากดูกอง ไดเอตมีข้อจำกัดหลายข้อ เช่น ต้องรับประทานโปรตีนที่มีไขมันน้อยเท่านั้น ซึ่งประเภทอาหารต้องทานตามที่แนะนำ ต้องรับประทานในสัดส่วนที่แต่ละ Phrase กำหนดไว้อย่างชัดเจน รวมไปถึงต้องทำตามข้อกำหนดหลายข้อ จึงอาจทำให้หลายคนสับสนและทำตามไม่ถูก
  • ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน[45] – การจำกัดอาหารที่รับประทานจนเหลือแค่โปรตีนอาจทำให้เกิดการขาดวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ขาดพืชผักที่เป็นแหล่งของไฟเบอร์ รวมไปถึงขาดคาร์โบไฮเดรตและไขมันดี ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพและความไม่สมดุลทางโภชนาการในอนาคต
  • ราคาสูง[46] – ดูกอง ไดเอตเป็นรูปแบบการกินเพื่อลดน้ำหนักโดยอาศัยแหล่งโปรตีนเป็นหลัก เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ไก่ รำข้าวโอ๊ต เป็นต้น ซึ่งนับเป็นอาหารที่มีราคาสูง ต้องทานอย่างต่อเนื่องตามสูตรของดูกอง จึงต้องใช้งบประมาณมากจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้วิธีการนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เพราะค่าใช้จ่ายสูง

 

  1. hCG Diet ลดน้ำหนักด้วยการเพิ่มฮอร์โมน[47]

the_hcg_diet

hCG Diet คือ การรับประทานอาหารที่มีการใส่ฮอร์โมน Human Chorionic Gonadotropin หรือทานอาหารเสริมฮอร์โมนดังกล่าวในช่วงลดน้ำหนัก โดย hCG เป็นฮอร์โมนที่มีอยู่ในระดับสูงในช่วงตั้งครรภ์[48] ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าผู้หญิงอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ และเป็นฮอร์โมนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของทารก อีกทั้งเป็นฮอร์โมนที่ถูกใช้เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก (Infertility)[49] อีกด้วย นอกจากนี้ มีการอ้างอิงว่า hCG สามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญและสลายไขมันโดยไม่ส่งผลให้หิว[50][51]

 

การลดน้ำหนักด้วย hCG Diet นั้นเป็นการรับประทานแคลอรีในปริมาณที่น้อยมากๆ เพียงแค่วันละ 500 แคลอรีเท่านั้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ

the_hcg_diet plan
the_hcg_diet plan

 

Loading Phase[52] – เริ่มจากการทานอาหารเสริมฮอร์โมน hCG เพื่อเพิ่มฮอร์โมนนี้ในร่างกาย พร้อมกับรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรีสูงเป็นเวลา 2 วัน

Weight Loss Phrase[52] – เป็นช่วงที่ให้รับประทานฮอร์โมน hCG ต่อเนื่อง แต่ให้จำกัดการรับประทานอาหารเพียง 500 หรือ 800 แคลอรีต่อวันเท่านั้น โดยจะใช้ช่วงเวลาประมาณ 3-6 สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่น้ำหนักลดลงอย่างมาก 

Maintenance Phrase[52] – หลังจากที่ลดน้ำหนักได้ถึงเป้าหมายที่ต้องการแล้ว ในระยะนี้จะเป็นช่วงที่ค่อยๆ ลดการรับประทานฮอร์โมน hCG ให้น้อยลง ในขณะที่ค่อยๆ เพิ่มจำนวนแคลอรีให้มากขึ้นให้อยู่ที่ราวๆ 1,200 ถึง 1,500 แคลอรีต่อวัน เป็นเวลาประมาณ 3 สัปดาห์

ในช่วงการลดน้ำหนักด้วย hCG Diet แล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นการรับประทานเพียง 2 มื้อต่อวัน และมีคำแนะนำให้ทานโปรตีนไขมันน้อย ผัก ขนมปัง ผลไม้ และดื่มน้ำให้มากๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงเนย น้ำมัน และน้ำตาล

ข้อดีของการทาน hCG

  • การลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารเสริม hCG มีการเปลี่ยนวิถีชีวิตและรูปแบบการทานอาหารน้อยมากเปรียบเทียบจากวิธีการลดน้ำหนักจากวิธีอื่นที่ต้องเคร่งครัดกว่ามากหรือเปลี่ยนวิถีชีวิตแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง[53]
  • อาหารเสริม hCG จะช่วยลดความยากอาหารลง ทำให้เราอยากทานอาหารน้อยลง และสามารถลดการบริโภคแคลอรีได้ตามเป้าระยะของการลดน้ำหนัก hCG ที่กำหนดไว้[53]

ข้อเสียของการทาน hCG

  • อาหารเสริม hCG ในตลาดมีของปลอมเยอะ ต้องใช้ความรู้และระมัดระวังอย่างมากในการซื้อมาทาน ทางที่ดีควรรับ hCG จากแพทย์หรือคลินิกที่น่าเชื่อถือ[47]
  • อาหารเสริม hCG บางแบรนด์อาจก่อเกิดอาการแพ้ได้ เช่น ปวดหัว อ่อนเพลีย ง่วงซึม หรืออาจก่อเกิดภาวะซึมเศร้าได้[47]
  • วิธีการลดน้ำหนักแบบ hCG ไม่เหมาะสมต่อการลดน้ำหนักระยะยาว เพราะมีผลเสียต่อระบบเผาผลาญและระบบเฮอร์โมนของร่างกาย[54]
  • วิธีการลดน้ำหนักแบบ hCG ไม่เหมาะสมต่อการทำเอง ควรพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพราะมีผลข้างเคียงหลายอย่างที่ต้องให้แพทย์ประเมินอาการ[53]

 

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] [16] [17] [18] [19] [20] [21] [22] [23] [24] [25] [26] [27] [28] [29] [30] [31] [32] [33] [34] [35] [36] [37] [38] [39] [40] [41] [42] [43] [44] [45] [46] [47] [48] [49] [50] [51] [52] [53] [54] [55] [56] [57] [58] [59] [60] [61] 

แชร์เลย :